ใบไม้พิษ


การแสดงออกทางหนึ่งในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนคือการเชิญนักวิชาการในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาหรืออยู่ในความสนใจของประชาชนมาสนทนาเป็นเชิงหาทางออกให้กับปัญหานั้นๆ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวทางของสื่อมวลชนนั้นๆ ว่ามีความเอนเอียงไปในทิศทางใด เพราะบ้านเมืองเราในวันนี้ไม่มีสื่อมวลชนที่เป็นกลางอย่างแน่นอน เนื่องจากตกเป็นเครื่องมือในทางการเมืองประเภทหนึ่งของกลุ่มนายทุนการเมืองไปอย่างสมบูรณ์เนิ่นนานมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายสะดวก สถานีวิทยุทั้งท้องถิ่นและส่วนกลาง สนานีโทรทัศน์เสรีทั้งมวล ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ผ่านสายเคเบิล ของต่างจังหวัด แถมด้วยฝ่ายประชาสัมพันธ์ของนักการเมืองในแต่ละท้องถิ่นที่ระดมป้อนข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนอย่างบ้าคลั่งในแนวทางที่ตนต้องการ โดยไม่สนใจที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความจริงแม้แต่ครั้งเดียว

นี่คือปัญหาสำคัญของบ้านเมือง
ที่นักวิชาการส่วนมากไม่เคยคำนึงถึง  

ประชาชนส่วนมากที่มีอยู่ในประเทศไทยในส่วนของผู้สูงอายุมีระดับเกณฑ์การศึกษาอยู่ในระดับพ้นเกณฑ์บังคับทั้งนั้นนั่นคือ ป.4 (แต่ก็มีอีกมากมายที่ไม่ผ่าน) พอมารุ่นหลังๆ ที่อายุไม่มากนักก็จะมีการศึกษาสูงขึ้นอีกนิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ผ่านภาคบังคับคือ ป.6 เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่าประชาชนส่วนนี้ ไม่มีความรู้ อย่างแท้จริง สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจก็คือ การประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น คือ ผู้ที่มรดกที่นา ที่ไร่ ที่สวน ก็จะทำไร่ ทำนาตามแบบอย่างของบรรพบุรุษ (แต่บางส่วนก็เอาที่ดินไปขายเพื่อซื้อรถปิคอัพหมดแล้วก็ใช้วิธีเช่าที่ไร่ ที่นาของนายทุนทำเอา) บางส่วนไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากแรงงานก็กลายเป็นกรรมกรขายแรงงานตามแบบอย่างบรรพบุรุษ อาศัยกาลเวลาเป็นตัวช่วยบ่มเพาะประสบการณ์ความชำนาญ บางส่วนก็หันไปยึดอาชีพค้าขายตามยถากรรม ขายทุกอย่างที่หาซื้อได้อันเป็นแหล่งกำเนิดของตลาดนัดร่อนเร่อยู่ทุกมุมประเทศ แม้แต่ในชนบท

ประชาชนเหล่านี้คือกลุ่มเป้าหมายสำคัญของนักการเมืองเลวๆ ที่ก่อกำเนิดมาจากนายทุน เพราะสามารถใช้เงินเป็นปัจจัยในการสร้างคะแนนเสียงให้มีขึ้นโดยไม่ต้องตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น เปรียบเสมือนการซื้อหาสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งจากตลาดด้วยการยื่นหมูยื่นแมวแล้วจบกันไป ไม่มีหนี้บุญคุณผูกพันต่อกัน และประชาชนกลุ่มนี้ส่วนมากก็ไม่ต้องการทราบคำอธิบายใดๆ เช่นกัน เพราะตนเองไม่มีความกระตือรือล้นสนใจในเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการปกครองในระดับประเทศแต่อย่างใด สนใจเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาปากท้องของตนในพื้นที่ที่อยู่ในระดับหมู่บ้านของตนเื่ท่านั้น ดังนั้นนายทุนนักการเมืองที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดสนของหมู่บ้านแม้จะเพียงชั่วคราว ย่อมจะเป็นเสมือนพ่อพระหรือเทวดาเดินดิน (แม้ว่าเงินที่นำมาแก้ไขปัญหานั้นจะมาจากภาษีของประชาชนทั้งแผ่นดิน)

จึงไม่แปลกอะไรถ้าจังหวัดหนึ่งที่มีนักการเมืองเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีจะมีถนนหนทางที่สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ขณะที่อีกหลายจังหวัดยังไม่มีแม้แต่ถนนลูกรังจะออกไปยังอำเภออื่นๆ และก็ไม่แปลกอะไรหากนักการเมืองท้องถิ่นหลายๆ คนจะมีนิวาสถานอยู่ในกรุงเทพมหานครตลอดมาหลายสิบปี แต่กลับได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.ในจังหวัดของชนบทห่างไกลทุกยุคทุกสมัย ทั้งๆ ที่ตนเองยังจำไม่ได้เลยว่าจังหวัดนั้นๆ ตั้งอยู่ในภาคใด ส่วนใดของประเทศไทย และบรรดาลูกหลานที่มีนามสกุลเหมือนกันก็ได้รับเลือกตั้งเช่นกัน ทั้งๆ ที่ไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปเหยียบพื้นดินจังหวัดนั้นด้วยซ้ำไป และจึงไม่แปลกที่จังหวัดเหล่านั้นจะยังคงสภาพเป็นจังหวัดบ้านนอกที่ด้อยความเจริญต่อไป

นี่คือวิถีทางของการเมืองแบบไทยๆ ที่ยั่งยืนและมั่นคงยากที่จะลบล้าง

ยามเย็นเมื่อลงไปกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นใจก็มักจะนึกไปถึงพระภิกษุที่กวาดลานวัดแล้วใช้เวลานั้นในการใช้ สติ พิจารณาถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เลยประยุกต์ใช้แนวทางนั้นมาบ้าง กวาดใบไม้ไปแต่ละใบอดนึกไม่ได้ว่าหากใบไม้ที่ร่วงหล่นลงไปนี้เป็นนักการเมืองการกวาดไปรวมไว้ที่โคนต้นไม้ให้เน่าเปื่อยเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำปุ๋ย ไม่แน่ใจว่าต้นไม้เหล่านี้จะเติบโตหรือจะเหี่ยวเฉาลงในที่สุด

เพราะนักการเมืองเหล่านี้เหมือนใบไม้ที่มีพิษอยู่ในตัวของมัน 
สามารถทำอันตรายทั้งกับผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียง
และแก่ตัวของมันเอง
ไม่ว่ามันจะยังสดใสอยู่
หรือมันจะเปื่อยเน่าไปแล้วก็ตาม

มันก็ยังคงมีพิษอยู่ชั่วนิรันดร์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

การเมืองใต้ตม