นโยบายกับความจริง




นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ในวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 โดยย่อพอจะสรุปได้ว่ามี 8 ด้าน นโยบายทั้ง 8 ด้าน คือ 1.
  1. นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก 2.
  2. นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ 3.
  3. นโยบายเศรษฐกิจ 4.
  4. นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต 5.
  5. นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6.
  6. นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการวิจัย และนวัตกรรม 7.
  7. นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ 8.
  8. นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 
สำหรับนโยบายข้อ 1) นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก มี 16 เรื่อง คือ 1.
  1. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ 2. 
  2. กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติด 3. 
  3. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 4. 
  4. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ 5. 
  5. เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. 
  6. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ 7. 
  7. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 8. 
  8. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน 9.
  9. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 10.
  10. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน 11.
  11. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรกรและให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน 12.
  12. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 13.
  13. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน 14.
  14. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ 15.
  15. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน 16.
  16. เร่งรัดและผลักดันการปฎิรูปการเมือง
เวลาผ่านมานานมากจนเกือบจะลืมเลือนไปว่ารัฐบาลคงจะดำเนินการบริหารประเทศไปตามนโยบายที่ให้ไว้ต่อรัฐสภาเสร็จสมบูรณ์ไปบ้างแล้ว และบางเรื่องก็อาจจะใกล้แล้วเสร็จ เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้บริหารปกครองประเทศมานานเกือบครบสองปีแล้ว อันเป็นครึ่งทางของอายุรัฐบาลพอดี

และแล้วทุกอย่างก็ปรากฎให้เห็นได้ชัดเจนว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่มีผลงานใดๆ ที่จะประสบผลสำเร็จสามารถนำมาแสดงให้ประชาชนทั่วประเทศได้พบได้เห็นประจักต์ต่อสายตาเลยสักชิ้นเดียว

นอกเสียจาก ข้อ 6 ที่นายกรัฐมนตรีอุตส่าห์เสียสละเวลาราชการในการบริหารปกครองประเทศ ต้องเดินทางออกไปพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ขาดระยะจนครบทุกทวีป และก็เกือบจะครบทุกประเทศ ซึ่งหากว่ารัฐบาลชุดนี้ยังคงบริหารประเทศต่อไปอีก 4 ปี นายกรัฐมนตรีคงมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำประเทศครบทุกประเทศทั่วทั้งโลกใบนี้ และอาจจะเลยไปถึงการเยือนดวงจันทร์ หรือดาวอังคารก็เป็นได้

โดยไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ กับประเทศชาติแม้แต่น้อย

เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะในหลายประเทศที่ไปเยือนนั้นนึกไม่ออกเอาเสียเลยว่าจะเกิดประโยชน์อะไร นอกเสียจากเพื่อนบ้านใกล้ชิดบางประเทศที่แสดงความรักกันจนน่าสะอิดสะเอียนในสายตาของประชาชน เพราะในบางโอกาสอาจจะต้องซมซานไปอาศัยพึ่งพาอาศัยกองทัพของเพื่อนบ้านตัวนี้มาช่วยปกป้องเก้าอี้ของตนไว้ เหมือนกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีประเทศนั้นเคยสร้างวีกรรมของวีรบุรุษด้วยการอาศัยกองทัพของเพื่อนบ้านให้ช่วยมายึดครองประเทศของตัวเองเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็บริหารปกครองประเทศนี้อย่างสง่าผ่าเผยอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องคุ้มครองของประเทศอื่นอย่างหน้าด้านๆ

2 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลนอกจากจะไร้ผลงานแล้วยังเต็มไปด้วยข่าวคราวเกี่ยวกับการฉ้อฉล คอรัปชั่นเชิงนโยบาย ใช้อำนาจทางนิติบัญญัติแบบทวนกระแส พยายามเข้าครอบงำองค์กรอิสระต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน พยายามแทรกแซงระบบราชการแบบซึ่งๆ หน้า พยายามเข้าครอบครององค์กรสื่อสารมวลชนแบบทุ่มเทสุดตัว พยายามสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ เพื่ออ้างเป็นเหตุผลในการออกกฎหมายเฉพาะบางเรื่อง

การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาลประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเพียง ข้อ 1 ข้อเดียว รัฐบาลก็ล้มเหลวเสียแล้วแม้จะใช้เวลาถึงสองปีก็ตามแสดงถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาอย่างแท้จริง บวกกับการขาดประสิทธิภาพของบุคลากรที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ ยิ่งมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 3 ครั้งก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไร้สมรรถภาพของบุคลากรของรัฐบาลว่าไม่มีน้ำยาพอที่จะมาแก้ไขปัญาดังกล่าวได้

แต่รัฐบาลกลับมีความพยายามที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยการใช้ทิฐิมานะผลักดันร่างกฎหมายที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคนเท่านั้น และเป็นเรื่องที่มีโอกาสสูงในการเป็นสายล่อฟ้าให้เป็นชนวนเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มชนในสังคม โดยไม่ใยดีต่อผลที่ติดตามมา

และรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่เคยให้ความสนใจใยดีกับปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนมาตั้งแต่เมื่่อสองปีที่แล้วจนถึงวันนี้ และจนถึงวันข้างหน้าอย่างแน่นอน เพราะคนในคณะรัฐบาลร่ำรวยกันถ้วนหน้าจนเห็นว่าเรื่องความยากจนของชาวบ้านนั้น

เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

จักรกลการเมือง