ความเป็นกลาง


เหมือนปกติของทุกวันที่จะต้องเข้าห้องน้ำเพราะถ้าไม่เข้าเสียเลยก็ไม่รู้ว่าจะกินข้าวไปทำไม ชีวิตมันกำหนดเอาไว้ในวงจรแน่นอนว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แล้วจะไปฝืนมันทำไม? และก็เช่นเคยในห้องสุขานั้นไม่สมควรที่จะใช้เวลาต่ำกว่า 5 นาทีเนื่องจากไม่ได้อยู่ในห้วงสงคราม หรือว่ามีไฟกำลังโหมไหม้บ้าน เวลาที่นานพอสมควรนั้นก็ไม่น่าที่จะปล่อยให้หมดสิ้นไปโดยเปล่ประโยชน์ การหยิบหนังสือติดมือเข้าไปด้วยจึงเป็นนิสัยถาวรอย่างหนึ่งที่กระทำติดต่อกันมานานมากกว่า 40 ปี ไม่มีอะไรเลยก็กระดาษห่อขนมนั่นแหละ ไม่เว้นแม้กระทั่งโฆษณาข้างซองบุหรี่ที่เขาเขียนไว้ว่า "ควันบุหรี่มีสารก่อมะเร็ง ฟอร์มาลดีไฮต์" แต่ไม่รู้ว่านายทุนหน้าเลือดที่ไหน? ผลิตออกมาขายกันอย่างโจ่งแจ้ง และถูกต้องตามกฎหมาย

แต่หนังสือของวันนี้กลายเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หนังสือเล่มเล็กๆ ที่อ่านจบมาแล้วหลายต่อหลายรอบแต่ก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก ต้องหยิบเอามาแปลไทยเป็นไทยจนนับครั้งไม่ถ้วน อ่านแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังคงเป็นกฎหมายหลักของประเทศอยู่หรือไม่?
เนื่องจากเนื้อหาในกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายมาตรา คล้ายกับว่าเขียนขึ้นมาเพื่อให้ "มองดูดี" เท่านั้น เพราะตาามหลักการแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ย่อมจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่กลับถูกละเลยทั้งโดยเจตนา หรืออาจจะไม่เจตนา(โดยตั้งใจ) ยกตัวอย่างซักมาตราหนึ่งก็แล้วกัน
มาตรา ๗๔ บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ในการปฏิบัติหน้าที่และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน บุคคลตามวรรคหนึ่งต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งละเลยหรือไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหน้าที่ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิขอให้บุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือผู้บังคับบัญชาของบุคคลดังกล่าว ชี้แจง แสดงเหตุผล และขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองได้
ผู้เขียนเคยเป็นข้าราชการ และเคยรับราชการมานานกว่า 30 ปี ดังนั้นจึงเข้าใจความมุ่งหมายของผู้ร่างกฎหมายในมาตรานี้ว่ามีความประสงค์อย่างไร? และก็เชื่อแน่ว่าผู้ร่างคงจะรู้ซึ้งดีถึงโลกในความเป็นจริง ว่ากฎหมายในมาตรานี้จะต้องไร้ผลในการควบคุมให้ผู้คนปฏิบัติตาม เพราะมันไม่เคยมีความเป็นกลางในทางการเมืองของบ้านเรา

การเมืองจะต้องมีการแบ่งข้างอยู่แล้วในรูปแบบของการบริหารประเทศ ในทางปฏิบัติก็คือ ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน แต่ไม่ใด้หมายความว่าประชาชนจะต้องถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านไปด้วย
เพราะประชาชนจะต้องเป็นผู้ได้รับประโยชน์เท่านั้น
ไม่ว่าฝ่ายใดจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม

แต่พอมาถึงวันนี้ การเมืองเริ่มมีความระส่ำระสาย นักการเมืองที่มาจากผู้คนหลากหลายสาขาอาชีพต่างพากันมองเห็นแต่เรื่องของผลประโยชน์ พากันเปลี่ยนแปลงการเมืองให้กลายเป็นสนามรบในบ้านของตัวเองและพยายามสร้างมวลชนให้หันมาสนับสนุนพรรคการเมืองของตนด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและพริ้วไหวไหลไปตามคารมด้วยการหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย รวมถึงการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับประชาชนในบ้านเมืองที่มีทั้งคนมีการศึกษา กลุ่มคนที่ไร้การศึกษา กลุ่มคนที่มีเหตุมีผล กลุ่มคนที่ไร้สติสัมปชัญญะในการพิจารณาถึงเหตุผล กลุ่มคนที่มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์มากกว่าความถูกต้อง จนถึงขั้นที่มีคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองบางคนออกมาพูดเสียงดังฟังชัดว่า

"ถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องเลือกข้างแล้ว" 

นี่คือไฟแห่งหายนะที่กำลังจะถูกจุดขึ้น
ด้วยนักการเมืองที่ขาดสติ 
มีความต้องการที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย 
มีความต้องการที่จะเห็นประชาชนลุกขึ้นมาฆ่าฟันกัน
มีความต้องการกอบโกยผลประโยชน์จากความย่อยยับของบ้านเมือง
มีความต้องการผลาญงบประมาณของประเทศ
โดยไร้ผู้ขัดขวาง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

จักรกลการเมือง