ประชาธิปไตย(2)
“..... เมื่อประชาธิปไตยช่วยให้เรามีอิสระเสรีในการแสดงความคิดเห็นได้แล้ว บทความนี้ก็คงจะยืนยันให้เห็นถึงสิทธิอันชอบธรรมของตัวเราที่จะมองภาพรวมของเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในสังคมไทยได้เช่นกัน.....ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว.....”
ประชาธิปไตย
(2)
ทุกวันนี้การแสดงออกของคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลุกปั่นล้างสมอง
เริ่มรุกล้ำล่วงละเมิดสิทธิ เสรีภาพ คนอื่น และละเมิดกฎหมายมากขึ้นทุกขณะ
เนื่องจากแกนนำผู้ก่อการ ได้แต่ชี้นำให้อ้างถึงการใช้สิทธิ เสรีภาพ
ตามระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่ แต่คนที่ปลุกปั่นยุยง
กลับไม่ได้แจ้งให้คนในกลุ่มได้รับรู้ถึงขอบเขตที่ควรจะมีอยู่
ราวกับว่ามีเฉพาะกลุ่มของตนเท่านั้นที่มีสิทธิ
เสรีภาพในการแสดงออกทุกรูปแบบได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ไม่ได้มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้น
มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่มีแนวความคิดเช่นนี้ ยกตัวตนให้เลิศเลอขึ้นมาเองว่า
ความคิดและการกระทำของตนทุกอย่างมีความถูกต้องและชอบธรรมที่สุด พร้อมกับป่าวประกาศพูดจาดูถูก
สติปัญญา การกระทำและความคิดของคนไทยทั้งแผ่นดิน โดยมักจะพูดอ้างอิงไปถึงประเทศในซีกโลกตะวันตกว่ามีอารยธรรมที่สูงส่ง
เป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ ในทุกด้าน มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี
โดยยกเอาแต่เรื่องที่เป็นด้านดีขึ้นมา
แต่ไม่เคยพูดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้รอบด้าน
เพราะไม่เคยมีความสมบูรณ์ดีพร้อมทุกด้าน ในทุกประเทศบนโลกใบนี้ เพราะบันทึกประวัติศาสตร์ของทุกประเทศ
ล้วนแต่ผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสงครามกับประเทศข้างเคียง
สงครามกลางเมือง ประชาชนได้สูญเสียชีวิตเลือดเนื้อ บ้านเมืองผ่านการแก่งแย่งชิงดี
และการต่อสู้ทางความคิด มาอย่างยาวนานด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น
จึงเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า ทุกประเทศมีทั้งด้านดีและด้านเลว
ที่ผู้คนภายในประเทศนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงความจริง
เมื่อพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดถึงระดับของสติปัญญาและวิจารณญาณของแกนนำ
ที่อาจจะนำพาประเทศไปสู่ความล่มสลายในอนาคต หากก้าวขึ้นมามีอำนาจ
เพราะสองขาที่ยืนหยัดอยู่บนวิมานเมฆ ไม่ได้ลงมาเดินบนพื้นดิน
และมองเห็นความเป็นจริงในการดำรงชีวิตอยู่ของประชาชน ที่กำลังยืนเหยียบอยู่บนพื้นดินในช่วงเวลานี้
ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นมาจากลมปากของคนเหล่านี้
ไม่ได้มีสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนแม้แต่น้อย
มีแต่จะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคมซึ่งจะขยายตัวเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่องการล้มล้างสถาบันหลัก 1 ใน 3 ของชาติ ซึ่งอาจจะจบลงด้วยสงครามกลางเมือง
ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ของประเทศซีกโลกตะวันตก
แต่แนวความคิดของแกนนำกลับอ้างว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชาติ
เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ประชาชนจะมีความเท่าเทียมกัน
อันเป็นคำพูดยอดนิยม ... ที่ไม่เคยมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ .. ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการปกครองในระบอบใดก็ตาม
ตราบใดที่โลกนี้ยังคงมีประเทศ ยังคงมีแนวแบ่งเขตแดน ยังคงมีการแบ่งแยกเชื้อชาติ
มีศาสนาที่แตกต่างกัน มีภาษาพูดที่แตกต่างกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณี
และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ทุกประเทศบนโลก มีประวัติศาสตร์ จุดกำเนิด
และแหล่งที่มาของประเทศ แตกต่างกัน
สำหรับประเทศไทย
มีภาพจำของพระมหากษัตริย์ที่กำดาบนำหน้ากองทัพทุกสมรภูมิ แสดงถึงความผูกพันอันแน่นหนาระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับกองทัพไทย
และยังมีข้อผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับบรรดาขุนนางมาตั้งแต่โบราณ ด้วยพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
คือ “พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา” แต่ประเพณีดังกล่าวถูกยกเลิกไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อ 25 มีนาคม 2512 สำหรับผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้นอัศวิน
รายละเอียดมีอยู่ในแหล่งข้อมูลมากมาย แต่จะว่าไปแล้ว การกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ
ในลักษณะเดียวกับการถือน้ำพิพัฒน์สัตยานี้ ก็ยังมีการกระทำในรูปแบบของการปฏิญาณตน
หรือการสาบานตนอยู่ในองค์กรต่าง ๆ อีกหลายกลุ่ม
ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ ก็ได้บัญญัติไว้ให้กระทำด้วยเช่นกัน
แต่ดูเหมือนว่า
คนในบางองค์กรไม่เคยได้สำเหนียกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคำปฏิญาณตน
หรือคำสาบานนี้เลย
... อาจจะมีต่อ ...