สังคมของใคร?


เคยมีคนพูดไว้ว่าเมื่ออายุมากขึ้นคนเรามักจะย้อนหวนกลับไปนึกถึงอดีตที่ผ่านมามากกว่าที่จะมองไปข้างหน้า (ก็คงยกเว้นคนหลายๆ คน โดยเฉพาะคนในแวดวงการเมืองการปกครองที่มักจะมีแนวความคิดสวนทางกับผู้คนปกติทั่วไปอันเนื่องมาจากตัณหายังหนาแน่น) เหตุผลคงเนื่องมาจากอดีตที่ผ่านมาสามารถสร้างชีวิตชีวาให้เกิดขึ้นกับจิตใจด้วยการทบทวนถึงความสุขความทรงจำที่ดีๆ มากมาย เพราะหากจะมองไปข้างหน้าแล้วสิ่งที่ทุกคนมองเห็นก็จะเป็นสิ่งเดียวกันโดยไม่มีทางเลือก นั่นคือโลงศพใบหนึ่งกับร่างไร้วิญญานของตัวเอง(ซึ่งอาจจะถูกจับแก้ผ้าหรือสวมชุดใหญ่ก็ตามแต่ความชอบ)

การย้อนกลับไปหาอดีตอาจจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตนเองที่เคยกระทำไว้ในขอบเขตที่สามารถจะกระทำได้ ยกเว้นเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ก็คงจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ส่วนการที่จะระลึกถึงด้วยความเสียใจหรือไม่? นั่นก็แล้วแต่เหตุผลของแต่ละบุคคล เพราะเรื่องราวบางอย่างแม้จะรู้ดีว่าผิดหรือไม่ถูกต้อง ตนเองก็ได้ตัดสินใจกระทำลงไปแล้วและพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำด้วยความเต็มใจ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือถูกต้อง ตัวเราเองเท่านั้นที่เข้าใจได้ถ่องแท้ ไม่มีผู้ใดใครที่ไหนจะมาตัดสินในตัวเราได้ว่าผิดหรือถูก เพราะแต่ละคนย่อมมีเหตุผลของตนเอง

ดังนั้น ศีลธรรม จึงเป็นเสมือนเครื่องถ่วงความเจริญก้าวหน้าสำหรับผู้ที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง หากจะก้าวไปข้างหน้าหรือก้าวให้สูงขึ้นไปก็จะต้องปล่อยวางศีลธรรม ปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีความเห็นแก่ตัว พร้อมเสมอที่จะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในทุกวิถีทาง จะต้องหมางเมินต่อคุณธรรมระหว่างครอบครัวและญาติมิตร จะต้องมองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ นั่นจึงจะทำให้ตนโดดเด่นสูงล้ำกว่าผู้อื่น 

ทำตนให้เป็นเป้าหมายสูงสุด 
เพื่อให้ผู้อื่นทำการโค่นล้มลงในวันข้างหน้า

ศีลธรรมจึงเป็นเพียงเครื่องมือในการก้าวเดินของบุคคลจำนวนมากที่แฝงตัวเข้ามาภายใต้ร่มเงาของศาสนา บางคนใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการชี้นำผู้คนไปสู่การเบียดเบียนข่มเหงกลุ่มด้อยพัฒนา บางคนใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการเข่นฆ่าผู้อื่น บางคนใช้ศาสนาในการสร้างโอกาสทางการเมือง และหลายๆ คนใช้ศาสนาเป็นอาชีพในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

ศาสนาจึงยังคงดำรงความสำคัญไว้ได้ทุกยุคสมัย
เพียงแต่อุดมการณ์เท่านั้นที่ถูกบิดเบือนไปตามวิวัฒนาการ

ประชาคมคือเป้าหมายของทุนนิยม
อันตรายของประชาคมไม่ใช่อุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์
อันตรายของประชาคมไม่ใช่อำนาจของเผด็จการทหาร
อันตรายของประชาคมไม่ใช่ระบอบการปกครองทุกระบอบ

แต่เศรษฐกิจการค้าเสรีของประชาคมเป็นประตูเปิดกว้างต้อนรับระบอบทุนนิยมที่กำลังครอบครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ จากระบอบเศรษฐกิจคืบคลานเข้าสู่การครอบงำระบอบการเมือง จากนั้นก็เข้าควบคุมการบริหารปกครองประเทศ การกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ควบคู่ไปกับการชี้นำประชาชนให้ก้าวเดินไปสู่ความฟุ้งเฟ้อเพื่อขยายระบอบเศรษฐกิจให้มีความสำคัญสูงสุดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มากกว่า อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อันเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
แม้แต่หมาก็ยังรู้จักการเก็บกวาดสิ่งปฏิกูลของตน
แต่เราเป็นคนกลับไม่เคยแยแสสนใจในสิ่งที่ทำ
ไม่เคยแยกแยะว่าสิ่งใดเกิดประโยชน์กับสังคมหรือประเทศชาติ
มองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเหนือสิ่งอื่นใด
บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า
ในบ้านเมืองเรายังมีคนบางคนที่เลวกว่าหมา



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

การเมืองใต้ตม