ฟ้าใกล้จะร่ำไห้


ไม่ได้เห่อตามกระแสของหน้ากากขาวหรอกนะครับ เพราะอันที่จริงก็ไม่ชอบหน้าคนในรัฐบาลหลายๆ คนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะบรรดาผู้มีอิทธิพลหน้าเดิมๆ ที่ชอบยกขบวนแห่แหนไปตามฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่เป็นนิจ เรียกได้ว่าทำกันจนเป็นนิสัยหรือสันดานก็ไม่แน่ใจว่าภาษาไทยเค้าใช้คำไหนถึงจะถูกจะควร แต่โดยสรุปก็คือคนกลุ่มนี้ไม่เคยเสียประโยชน์ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล เพราะสามารถเปลี่ยนสีปลิ้นปล้อนเข้ามาเสนอหน้าเป็นรัฐมนตรีได้ทุกโอกาส ถึงจะทำอะไรไม่เป็นซักเรื่อง ก็ขอให้ได้เป็นไว้ก่อน บางคนเคยเป็นถึงรัฐมนตรี่ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย คุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งประเทศ  ยังไม่รู้เลยว่าประเทศไทยมีกี่จังหวัด

ในยุคแรกๆ บางคนก้าวเข้ามาในวงการเมืองด้วยความคิดที่ว่า
" ประเทศชาติต้องมาก่อน "
แต่มาถึงวันนี้นักการเมืองทุกคนดูเหมือนจะคิดตรงกันหมดว่า
" ผลประโยชน์ต้องมาก่อน "

ประชาชนส่วนมากนิ่งเฉยขณะที่แบมือรับเงินจากการซื้อเสียง และนักการเมืองทั้งหมดก็พร้อมที่จะปฏิเสธหากถูกระบุว่าจ่ายเงินซื้อเสียง (เพราะไม่ได้จ่ายจริงๆ แต่ไอ้หัวคะแนนต่างหากที่เป็นคนจ่าย) ทุกคนพร้อมที่พูดโกหกได้โดยไม่ขัดเขินในเรื่องเหล่านี้

และนี่คือเส้นทางของระบอบประชาธิปไตย
ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้
ไม่ว่าผิดหรือถูก?

คนมากมายในประเทศนี้พร้อมที่จะเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยิน
โดยไม่ต้องมีการกลั่นกรองถึงเหตุและผล
เพราะต้องการที่จะเชื่ออย่างนั้น

ประเทศใดมีแต่คนดีอยู่ร่วมกัน ประเทศนั้นจะสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน เพราะประชาชนต่างก็มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันในทุกเรื่อง

ในทางตรงกันข้าม หากประเทศใดมีแต่คนเลว ต่างคนแก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบกันไม่หยุดยั้ง ต่างคนต่างก็มุ่งกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น พร้อมที่จะเข่นฆ่า ช่วงชิงทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนอย่างไร้ปราณี ประเทศชาตินั้นก็คงลุกเป็นไฟไปตลอดกาล

แต่ถ้าประเทศนั้นมีทั้งคนดีและคนเลวคละเคล้าปะปนกัน
ประชาชนก็ควรจะมี "สติ ปัญญา" พอที่จะแยกแยะในเรื่องนี้
อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนมาตั้งแต่ปี 2475 
ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้เลือกอนาคตของตัวเอง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

การเมืองใต้ตม