ทรัพยากรที่ไร้ค่า


วันนี้บ้านเมืองของเรายังคงตกอยู่ในกระแสการโจมตีจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยทหาร ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากคำว่า "รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย" ที่ถูกล้มล้างลงไปด้วยอำนาจปืนนั่นเอง เพราะต่างประเทศหลายชาติต่างชื่นชมยินดีในระบอบการปกครองที่อาศัยเสียงคนส่วนมากในการกำหนดบทบัญญัติขึ้นมาเพื่อปกครองคนทั้งแผ่นดิน "โดยไม่ใส่ใจใยดีกับเสียงของคนส่วนน้อย" และที่สำคัญที่สุดก็คือ "โดยไม่ใส่ใจกับความถูกต้อง" ซึ่งในวันนี้เราก็ได้รับรู้แล้วถึงพิษสงของคำว่า "คนหมู่มาก" มันเริ่มต้นจากการใช้คนหมู่มากเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงลงด้วยการเลือกตั้งที่ใช้กลโกงและการโฆษณาชวนเชื่อในทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงที่มากที่สุด เพียงพอที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ 

แต่แล้วในวันหนึ่ง "คนหมู่มาก" อีกกลุ่มหนึ่งก็พากันออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลชุดนี้อย่างท่วมท้นจนผู้บริหารประเทศหมดหนทางเลี่ยงหลบหนีจากปัญหาต้องออกมาท้าชนกับคนหมู่มากด้วยอำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือบวกกับ "อำนาจเถื่อนที่เคยมีอยู่ในมือ" ผลก็คือประเทศชาติกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองด้วยฝีมือของรัฐบาลเอง แต่ก่อนที่บ้านเมืองจะประสบกับภาวะล่มสลายลง ก็มี "คนหมู่มาก" อีกกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจการต่อรองสูงสุดในแผ่นดินนี้เนื่องจากมี "อาวุธ"  ปรากฏตัวออกมายืนระหว่างกลางของความขัดแย้งและไกล่เกลี่ยหาข้อยุติ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดของตนอยู่แล้ว 

ฝ่ายรัฐบาลประกาศผดุงระบอบประชาธิปไตยของตนที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชน ด้วยวิธีการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง จึงสามารถที่จะออกกฎหมาย แก้ไขกฏหมายทุกอย่างได้ตามที่ฝ่ายตนต้องการ โดยไม่ต้องมาสนใจว่าเรื่องไหนถูกหรือเรื่องไหนไม่ถูกต้อง ขณะที่ฝ่ายต่อต้านก็ยึดมั่นที่จะล้มล้างระบอบเผด็จการรัฐสภาที่น่าอับอายนี้ลงทันที ดังนั้นทางเลือกของคนหมู่มากกลุ่มสุดท้ายจึงไม่มีอีกแล้ว จำต้องประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยเบ็ดเสร็จ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลขาดความต่อเนื่องในโครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการที่กำลังพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งรีบเพื่ออนุม้ติจ่ายเงินจำนวนมหาศาลมาเพื่อใช้งานทางการเมืองเป็นการเร่งด่วน กับเรื่องสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลก็คือบาดแผลที่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดมากมายหลายโครงการ กำลังจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาตรวจสอบ ชำระล้าง ควานหาหลักฐาน เพื่อค้นหาตัวผู้ที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด

สงครามทุกครั้งจะต้องมีคู่สงครามและฝ่ายที่เป็นกลาง เพียงแต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า "ความเป็นกลาง" น่ะมีอยู่จริง เพราะในทุกการต่อสู้ผู้ที่ไม่ใช่คู้ขัดแย้งย่อมมองสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง การเข้าสอดมือช่วยเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ย่อมจะเล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นการตอบแทนในภายหลัง ดังนั้นจึงต้องมองสภาพการต่อสู้ด้วยความรอบคอบและพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือฝ่ายที่กำลังจะมีชัยอย่างแน่นอน  ความเป็นกลางในยุคสมัยนี้จึงเป็นวิถีทางของการแสวงหาผลประโยชน์มากกว่าการรักษาความถูกต้องในสังคม

ทรัพยาการที่สำคัญที่สุดในแผ่นดินก็คือ คน 

หากรัฐบาลมุ่งที่บริหารจัดการทรัพยากรในด้านบุคคลเป็นลำดับแรก นั่นคือต้นทางในการบริหารจัดการทรัพยากรอื่นๆ ตามลำดับความเร่งด่วน และ ตามลำดับความสำคัญ 

เนื่องจากคนเป็นต้นทุนของทุกเรื่อง 
คนมีกำลังแรงงานเป็นของตนเอง
คนมีกำลังสมอง มีปัญญาเป็นของตนเอง

แต่กำลังสมองและสติปัญญาของคน ไม่ได้เกิดขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ มันต้องอาศัยการศึกษา การเรียนรู้มาตั้งแต่กำเนิด 

เริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวในด้านอุปนิสัย การสืบสันดาน  
จากสถาบันการศึกษาในด้านวิทยาการ ความรู้   
จากสถาบันศาสนาในด้านพื้นฐานของจิตใจ
จากประสบการณ์ในด้านการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของตัวเอง

คน ที่ปราศจากการเรียนรู้จากสถาบันทั้ง 4 ข้างต้นก็เปรียบเสมือน คน ที่สมองว่างเปล่า แต่ก็เพียงพอที่จะบรรจุคำโฆษณาชวนเชื่อและรับคำสั่งให้ปฏิบัติตามในทุกเรื่องโดยไม่ต้องใช้สมองคิดไตร่ตรองให้เสียเวลา คนประเภทนี้จึงเป็นที่ต้องการของผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย ตราบจนถึงทุกวันนี้ นักการเมืองจึงมองหาแต่ทรัพยากรบุคคลประเภทนี้เพื่อนำมาเติมเต็มให้กับคำว่า "ประชาธิปไตย" ในแผ่นดิน

แผ่นดินที่มีแต่ทรัพยากรที่ไร้ค่า



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผ่านไปอีก 1 ปี

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

จักรกลการเมือง