นักวิชาการ




หากจะมองถึงเจตนารมณ์ในด้านวิชาการแล้ว คำว่า นักวิชาการในสาขาใดๆ ย่อมหมายความถึง ผู้มีความรู้ ความชำนาญ และศึกษาลึกซึ้งในสาขาวิชานั้นๆ ดังนั้น เมื่อเห็นคำว่านักวิชาการก็มักจะมาคู่เคียงกับคำว่า ผลงานวิจัย หรือ การสัมนาทางวิชาการ

ย้อนหลังไปหลายสิบปี คำว่านักวิชาการ บอกให้ทราบถึงความเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอิสระทางความคิด มีความเป็นกลางในทางความคิด ปราศจากอคติไม่เอนเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ต่างมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าหาความจริงจากเรื่องที่ตนมีความสนใจอย่างจริงจัง แสวงหาชื่อเสียงจากความสำเร็จในงานที่ตนกระทำ และกลุ่มนักวิชาการนี้จะมีความเป็นอยู่ที่ตัดขาดจากบุคคลภายนอกโดยสิ้นเชิง สถานที่อยู่เกือบทั้งหมดจะเป็นภายในรั้วมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย เท่านั้น

แต่มาถึงวันนี้กาลเวลาทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน โลกภายนอกของสังคมเกลื่อนกลาดไปด้วยนักวิชาการ ในทุกสาขาอาชีพที่พร้อมจะเสนอหน้าออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสารมวลชนทุกโอกาสที่เปิดให้ โดยเปิดเผยทิศทางทางความคิดในการเลือกข้างอย่างชัดเจน แต่กลับเป็นกลุ่มนักวิชาการที่แสวงหาทรัพย์สินเท่านั้นเพราะทุกความคิดเห็นเป็นไปตามคำบงการของนายจ้าง ตนเองเพียงพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสังคม โดยการเสนอหน้าออกสื่อให้บ่อยครั้งที่สุดแล้วก็พยายามวางท่าทีเป็นผู้ทรงภูมิมากที่สุด ทั้งๆ ที่เรื่องบางเรื่องก็ค้นคว้ามาจากเรื่องที่ผู้อื่นกำลังทำการค้นคว้าวิจัยอยู่ บางเรื่องก็นำข้อมูลจากหลายๆ แห่งมาดัดแปลงแก้ไขเรียบเรียงเป็นแนวความคิดของตน

และบิดเบือนข้อมูลที่ควรจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

นักวิชาการจอมปลอมกลุ่มนี้สร้างหายนะใหญ่หลวงให้กับทั้งระบบ ไม่ว่าจะด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กลุ่มนายทุน นักธุรกิจการเมืองกำหนดไว้ ปลุกปั่นกระแสความเชื่อในทางที่ผิดๆ ให้กับประชาชน บีบให้ประชาชนก้าวเดินไปสู่เส้นทางที่ถูกวางไว้ นั่นคือหายนะ

สังคมเรามีนักวิชาการด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และสังคม มากมาย เป็นตัวเลือกให้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถมีความจำเป็นอย่างยิ่งทีจะต้องว่าจ้างนักวิชาการกลุ่มนี้แต่งตั้งเข้าไปเป็นที่ปรึกษาประจำตัวหรือประจำพรรคการเมืองไม่ใช่น้อย เพื่ออาศัยเป็นตัวอ้างอิงในการบริหารราชการแผ่นดินว่าได้ผ่านการกลั่นกรองจากนักวิชาการมาแล้วอย่างรอบคอบ ว่าจะไม่เกิดความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นกับแผนปฏิบัติการนั้นๆ อย่างแน่นอน

แต่นั่นคือความฝัน

ในโลกของความเป็นจริง รัฐบาลหลายคณะสร้างความเสียหายกับประเทศชาติอย่างย่อยยับ ทั้งจากตัวของบุคคลในคณะรัฐบาลเองและจากแผนงานโครงการต่างๆ ของรัฐบาลเอง ทั้งจากการทุจริตคอรัปชั่นที่ขยายวงกว้งออกไปทั่วทุกวงการ และช่วงเวลาเหล่านี้กลุ่มนักวิชาการจอมปลอมก็จะพากันหดหัว หุบปากแน่นสนิท ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองแก้ตัวหาทางออกกันเอาเองแบบน้ำขุ่นๆ

หนึ่งในหายนะร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติก็คือ โครงการประชานิยม

ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายที่เป็นรัฐบาลเท่านั้นที่นำเอาโครงการประชานิยมมาเป็นตัวชูโรง แม้แต่ฝ่ายค้านก็ยังเพียรพยายามที่จะนำเสนอโครงการประชานิยม(ที่ผ่านการดัดแปลงบ้างแล้ว) มานำเสนอต่อประชาชน โดยไม่ใส่ใจต่อผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ และประชาชนในประเทศนี้

เพราะโครงการนี้บิดเบือนวิถีชีวิตของประชาชนโดยสิ้นเชิง

เปลี่ยนชาวนาธรรมดากลายมาเป็นขอทานที่มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
เปลี่ยนคนธรรมดาจากชนชั้นกลางที่มีกินมีใช้อย่างจำกัดให้กลายเป็นคนยากจน
เปลี่ยนพ่อค้ารายย่อยให้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย

และเปลี่ยนเศรษฐีเพียงไม่กี่ตระกูลให้กลายเป็น โคตระบรมมหาเศรษฐี

ทั้งนี้และทั้งนั้น ผลงานส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากนักวิชาการจอมปลอมเหล่านี้นี่เองที่นำเสนอผลงานที่ไม่ได้เกิดจากงานวิจัยค้นคว้าศึกษาข้อมูลโดยละเอียดของตนเอง แต่เป็นการนำเสนอตามความคิดของนักธุรกิจการเมืองที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

ได้เวลาอันสมควรแล้วที่นักวิชาการจะต้องหันกลับไปสู่วิถีทางเดิมของตน ยึดถือปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทำงานของตนเพื่อสังคม เพื่อประชาชน และเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทองหรืออามิสสินจ้างรางวัลจนละเลยต่อคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณอันพึงมีอยู่

ได้เวลาอันสมควรแล้วที่ประชาชนทั้งประเทศจะต้อง เปิดหู ลืมตา อ้าปาก ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตนอย่างจริงจัง และแสดงให้บรรดาโคตระบรมมหาเศรษฐีเหล่านั้นได้รับรู้ว่า คนในประเทศนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยขาของตนเองเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยทำมาในอดีต ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมายืนเข้าแถว รอรับเศษอาหารเหมือนดังที่เคยปรากฎในสิบกว่าปีที่ผ่านพ้นมา

ภาพเก่าๆ เหล่านั้น มันบาดตา บาดใจ บาดลึกลงไปในความรู้สึก

นั่นแหละคือ บทเรียนที่ทรงคุณค่าของประชาชน

เจ็บแล้วต้องจำ 
อย่าทำเป็นหนังหนา

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วงล้อการเมืองเริ่มหมุน

ผ่านไปอีก 1 ปี

การเมืองใต้ตม